วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

การพูดในที่ชุมชน


ความรู้เบื้องต้นในการพูด
วัตถุประสงค์ในการพูด
1.      เพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสาร
2.      เพื่อสร้างความเข้าใจ
3.      เพื่อให้เกิดความเชื่อ เห็นคล้อยตาม
4.      เพื่อให้กระทำตามที่ต้องการ
5.      เพื่อบรรยากาศที่ดี

โอกาสในการพูด
1.      การพูดต่อที่ชุมชน
2.      การพูดปราศรัยในงานต่างๆ
3.      การสอน การบรรยาย
4.      การนำเสนอ
5.      การอภิปราย ปาฐกถา โต้วาที
6.      การพูดจูงใจ
7.      การประชุม

แบบในการพูด
-          ท่องจำ
-          อ่านจากร่าง
-          พูดตามหัวข้อ
-          พูดโดยไม่เตรียมตัว (พูดในสถานการณ์เฉพาะหน้า)

องค์ประกอบในการพูดให้จับใจผู้ฟัง
            องค์ประกอบที่สำคัญในการพูดให้จับใจผู้ฟัง มี 3 ส่วน คือ
1.      ผู้พูด
ประกอบด้วยเรื่องที่ต้องรู้ดังนี้
-          บุคลิกลักษณะ
-          การเตรียมตัว
2.      เนื้อหา
ประกอบด้วยเรื่องที่สำคัญคือ
-          การรวบรวมข้อมูล
-          การสร้างโครงเรื่อง
-          การใช้ถ้อยคำภาษา
-          การใช้สื่อ
-          การทดสอบความพร้อม
3.      ผู้ฟัง
-          วิเคราะห์ผู้ฟัง  เพื่อเตรียมตัวพูด

บุคลิกลักษณะที่ดีของผู้พูด
              ลักษณะที่ดี 10 ประการของผู้พูด
1.      รูปร่างหน้าตา
การดูแลรูปร่างหน้าตาให้ดูดี จะช่วยสร้างความพอใจและความยอมรับจากผู้ฟังหรืออย่าง
น้อยก็ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกต่อต้านจากผู้ฟัง จึงเป็นสิ่งที่ผู้พูดไม่ควรละเลย
เรื่องที่ควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา คือ
-          ความสะอาด
-          ความเรียบร้อย
-          การจัดให้ดูดี
2.      การแต่งกาย
ไก่งามเพราะขน  คนงามเพราะแต่ง    ยังคงใช้ได้       สำหรับการเป็นผู้พูดที่ประสบ
ความสำเร็จ เพราะการแต่งกายที่ดี  จะนำมาซึ่งความพอใจและความเชื่อถือของผู้ฟัง
                        การแต่งกายที่ดี ควรพิจารณาในเรื่องต่อไปนี้
-          รูปร่าง
-          วัย
-          โอกาส
-          เวลา
-          สถานที่
-          การตกแต่งประดับประดาที่พอดี
-          การสำรวจตรวจสอบความเรียบร้อย
-          ความสุภาพ
3.      น้ำเสียง
  ผู้พูดต้องพูดเสียไม่เบา  หรือดังเกินไป  โดยคำนึงถึงสถานที่และ จำนวนผู้ฟัง  รู้จักใช้เสียง
หนัก  เบา  มีท่วงทีลีลาและจังหวะในการพูด    มีการเน้นย้ำให้สอดคล้องกับเรื่องที่พูด เพื่อการกระตุ้นผู้ฟังให้สนใจตลอดเวลา
4.      สีหน้า
ผู้พูดต้องแสดงสีหน้าให้สอดคล้องกับเรื่องราวที่พูด  พูดเรื่องเศร้าสีหน้าต้องเศร้า โกรธ สี
หน้าต้องโกรธ  พูดจริง หน้าตาต้องจริงจัง  พูดเล่น หน้าตา (น้ำเสียงด้วย) ก็ต้องให้ผู้ฟังรู้ว่าพูดเล่น ฯลฯ  ผู้ฟังจะคล้อยตามผู้พูดเมื่อสีหน้าผู้พูดแสดงความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ
           
5.      สายตา
ดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ   ใจของผู้พูดเป็นอย่างไร  ตาก็เป็นอย่างนั้น ผู้พูดต้องสบตา
ผู้ฟัง เพื่อให้รู้สึกว่าผู้พูดกำลังพูดกับผู้ฟัง

6.      ท่าทาง
ผู้พูดต้องพูดจากใจ มีความจริงใจ พูดจากความรู้สึกจริงๆ ท่าทางก็ออกไปโดยอัตโนมัติ
อย่างไปกำหนดท่าทางว่า พูดอย่างนี้อย่างนั้นแล้ว ต้องแสดงท่าทางอย่างนี้อย่างนั้น จะทำให้การพูดสะดุดไม่เป็นธรรมชาติ แต่พึงระวัง ในระหว่างที่กำลังพูดอย่าล้วง แคะ แกะ เกา จะทำให้ผู้ฟังไปสนใจกิริยาท่าทางดังกล่าว
7.      ความเชื่อมั่น
ผู้พูดที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง จะแสดงความประหม่าให้ผู้ฟังเห็น นอกจากการพูดจะ
ไม่คล่องแล้ว ความประทับใจของผู้ฟังก็จะไม่เกิดขึ้น  ผู้พูดต้องแสดงความเชื่อมั่นให้กับตนเอง คือ ต้องศึกษาหลักการพูด  วิเคราะห์ผู้ฟัง  เตรียมเนื้อหาและฝึกซ้อมจนพูดได้โดยรู้สึกเป็นธรรมชาติ ปราศจากความประหม่า
8.      ความกระตือรือร้น
ผู้พูดที่ดีต้องพูดอย่างมีชีวิตชีวา ไม่เนือย ไม่เฉื่อย เพราะทฤษฎีของการพูดมีอยู่ว่า ผู้พูด
ต้องเป็นผู้กำหนดท่าทีของผู้ฟัง  นั่นหมายความว่า  หากผู้พูดพูดอย่างกระตือรือร้น ผู้ฟังจะ สนใจและกระตือรือร้นในการฟัง
9.      อารมณ์ขัน
                         ผู้ฟังทุกคนต้องการหาความรู้ ต้อการฟังเรื่องที่มีสาระ แต่ในขณะเดียวกัน  ก็ต้องการความ
สนุกสนานด้วย  หากผู้พูดมีอารมณ์ขัน และใช้อารมณ์ขันให้เหมาะสม กับเรื่องกับโอกาสแล้ว จะประสบความสำเร็จในการพูดเป็นอย่างยิ่ง  ผู้ฟังจะพอใจและประทับใจและมีอารมณ์ร่วมตลอดเวลา อารมณ์ขันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้พูดมีอารมณ์แจ่มใส มองคนมองโลกในแง่ดี สะสมตัวอย่างตลกขำขัน ไว้มากมายสามารถจะดึงมาให้ได้อย่างไม่หมดสิ้น
10.  ปฏิภาณไหวพริบ
เพื่อใช้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น  การฝึกฝนให้มีปฏิภาณไหวพริบ จะช่วยคลี่คลาย
สถานการณ์ ทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี หรือผ่อนคลายจากหนักเป็นเบาลงได้

การเตรียมตัวในการพูด
                        ปัจจัยสำคัญของนักพูดที่ประสบความสำเร็จก็คือ    การเตรียมตัว  การเตรียมตัวเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งที่ผู้พูดพึงตระหนักและเข้าใจอย่างถ่องแท้  มักจะเคยเห็นกันอยู่เสมอว่านักพูดบางคนเตรียมตัวมาแล้ว แต่เมื่อขึ้นเวทีพูด ก็ยังเกิดความผิดพลาดและความล้มเหลวอยู่ดี ที่เป็นเช่นนี้เพราะการเตรียมนั้นยังไม่สมบูรณ์หรือไม่ถูกต้อง

ในการเตรียมการพูด ขอให้พิจารณาในเรื่องต่อไปนี้

1.      ผู้พูดเป็นใคร ?
หมายถึง  การวิเคราะห์ตัวผู้พูด 2 ประการ ดังนี้
1.1  ผู้พูดเป็นใครสำหรับผู้ฟัง  ต้องวิเคราะห์ว่าตัวเราเป็นดังนี้หรือไม่
-          รู้จักกับผู้ฟังดี
-          เป็นคนมีชื่อเสียง
-          ผู้ฟังเคยฟัง หรือติดตามการพูดมาก่อน
-          ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อนเลย
ถ้าผู้ฟังรู้จัก หรือพอจะรู้จัก ย่อมถือเป็นข้อได้เปรียบในการพูด
1.2  ผู้พูดมีความถนัดในเรื่องที่พูดมากน้อยแค่ไหน มีบุคลิกลักษณะการพูดอย่างไร
-          เป็นนักพูดสนุกสนาน สร้างบรรยากาศ
-          เป็นนักพูดเอาจริงเอาจัง
-          เป็นนักพูดวิชาการ
-          เป็นนักพูดแบบพูดไปเรื่อยๆ
2.      พูดกับใคร ?
หมายถึง  การวิเคราะห์ผู้ฟัง  ดังคำกล่าวที่ว่า  รู้เขารู้เรา  รบร้อยครั้ง  ชนะทั้งร้อยครั้ง
3.      พูดอะไร ?
ผู้พูดต้องทราบถึงรายละเอียดของการพูดอย่างชัดเจน  ต้องทำความเข้าใจกับหัวข้อที่จะพูดอย่าง
ชัดเจนเพื่อใช้ในการเตรียมการพูด   นักพูดที่มีความพิถีพิถัน ในการพูดมักไต่ถามผู้จัดว่าจะ ให้พูดในรายละเอียดไปทางด้านใดบ้าง  ผู้ฟังอยากรู้อะไรเป็นพิเศษ   เพื่อความสะดวกในการเตรียมการพูดตรงกับความต้องการของผู้ฟัง    บางครั้งผู้พูดรับทราบหัวข้อการพูดไม่ชัดเจนนำไปเตรียมตัวตามความเข้าใจของตนเอง  อาจทำให้ผิดวัตถุประสงค์ของผู้จัดอย่างสิ้นเชิง
4.      พูดเมื่อไร ?
การวิเคราะห์โอกาสและเวลาในการพูดเป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่ง ความล้มเหลวในการพูดอาจมีสาเหตุมาจากโอกาสและเวลาของการพูดไม่เหมาะสมก็ได้

แนวทางในการวิเคราะห์ ควรพิจารณาถึงสิ่งต่อไปนี้
4.1  ความสนใจพิเศษของผู้ฟังมีหรือไม่  การพูดในช่วงที่ผู้ฟังมีความสนใจอะไรอยู่เป็นพิเศษ 
ผู้พูดควรดึงเอาเหตุการณ์ที่มีผู้ฟังสนใจมาประกอบกับเรื่องที่พูดอย่างผสมผสานจะเพิ่มความสนใจในเรื่องที่พูดมากยิ่งขึ้น
4.2  พูดเนื่องในโอกาสอะไร  เพื่อเตรียมรับสถานการณ์การพูดได้อย่างถูกต้อง
4.3  ลำดับรายการเป็นอย่างไร  ก่อนหน้าที่จะมีการพูดรายการนี้ มีรายการอะไรมาก่อน ผู้ฟัง
ประทับใจหรือไม่น่าสนใจ รายการต่อจากการพูดเป็นที่น่าสนใจของผู้ฟังมากน้อยแค่ไหน รายการก่อนหลังนี้ มีผลกระทบถึงจิตใจและอารมณ์ของผู้ฟังให้เปลี่ยนแปลงไปได้
                        4.4  เวลาที่พูดเป็นเวลาอะไร  บรรยากาศในแต่ละช่วงเวลามีความแตกต่างกัน การพูดในตอนเช้าผู้ฟังยังมีความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า  พูดเวลากลางวันอากาศมักร้อน  ผู้ฟังบางคนหิวมีอาการกระสับกระส่าย  เวลาพูดเวลาบ่ายผู้ฟังมักง่วงเหงาหาวนอน   พอตอนเย็นผู้ฟังมักห่วงภาระทางบ้าน และอยากพักผ่อน  พูดตอนกลางคืนผู้ฟังมักไม่อยากจะฟัง อยากจะนอน หรืออยากไปเที่ยว การรู้ช่วงเวลาการพูดจะช่วยให้ผู้พูดให้เหมาะสมกับสถานการณ์เวลาในช่วงนั้น
5.      พูดที่ไหน ?
ผู้พูดพึงรู้จัก และทำความคุ้นเคยกับสถานที่ที่จะพูดพอสมควร   การวิเคราะห์สถานที่ควรยึดหลัก
ต่อไปนี้
5.1  บรรยากาศของสถานที่  ร้อนอบอ้าว หรือมีเครื่องปรับอากาศ มีลดพัดเย็นสบาย ความร้อน
อบอ้าวย่อมทำลายสมาธิของผู้ฟังไปส่วนหนึ่ง
5.2  อุปสรรครบกวน  เช่น  มีคนพลุกพล่านผ่านเข้าออกตลอดเวลา  เสียงรบกวนจากภายนอก
เช่น เสียงรถ  เสียงเรือ  เสียงเครื่องจักร ฯลฯ
5.3  ความสำคัญของสถานที่  เพื่อความสะดวกในการแต่งกาย  การวางตัว
5.4  ความพร้อมของสถานที่ ในเรื่องเครื่องเสียง อุปกรณ์ประกอบการพูดมีครบถ้วนหรือไม่
5.5  ความคุ้นเคยกับสถานที่ ถ้ามีความคุ้นเคยอยู่บ้างย่อมได้เปรียบ แต่ถ้าไม่คุ้นเคยควรหาเวลา
ไปสำรวจก่อนการพูด
6.      พูดอย่างไร ?
เมื่อทราบถึงหัวข้อการพูด  วิเคราะห์ผู้ฟัง  ทราบเวลาและสถานที่พูดเรียบร้อยแล้ว ผู้พูดพึงตัดสินใจ
ว่าจะพูดไปในแนวอย่างไร
วัตถุประสงค์การพูดที่สำคัญมี 4 ประการคือ
6.1  พูดเพื่อการจูงใจ เรียกร้องให้ปฏิบัติตาม
6.2  พูดเพื่อการสอน การบรรยาย
6.3  พูดเพื่อความสนุกสนาน
6.4  พูดเนื่องในโอกาสพิเศษ
ผู้พูดที่มีความคล่องในสถานการณ์  ย่อมสามารถที่จะปรับการพูดให้เป็นไปได้ ในทุกรูปแบบ
ถ้าบรรยากาศไม่ดีผู้ฟังเบื่อหน่าย อาจแก้ปัญหาการพูดให้สนุกสนานปลุกการสนใจ ถ้าการพูดเสียเวลามามากอาจตัดตอนให้สั้นลง หรือถ้าผู้ฟังสนใจและมีเวลาเหลืออยู่ อาจขยายความให้มากขึ้น

การสร้างโครงเรื่อง
                        อาคารบ้านเรือนที่มั่นคงสวยงามย่อมต้องมีโครงสร้างที่ดีฉันใด   การพูดที่ดีที่จับใจทำให้คนสนใจฟังได้อย่างต่อเนื่องก็ย่อมต้องมีโครงเรื่องที่ดีฉันนั้น
                        โครงเรื่องที่ดีในการพูด ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ
1.      คำนำหรือคำขึ้นต้น
2.      เนื้อเรื่อง
3.      สรุปจบ
ทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ หากทำได้อย่างเหมาะสม จะทำให้คนสนใจได้อย่างแน่นอน
คำนำหรือคำขึ้นต้น
                        การเริ่มต้นที่ดี สร้างความสนใจให้เกิดขึ้นได้ ย่อมสร้างความศรัทธา ทำให้ผู้ฟังติดตามฟังต่อไป ดังคำกล่าวที่ว่า  การเริ่มต้นที่ดี หมายถึง  สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งถ้าเริ่มต้นล้มเหลว ไม่น่าสนใจ ย่อมยามที่จะจุดความสนใจของผู้ฟังขึ้นมาใหม่

ลักษณะการขึ้นต้นที่ล้มเหลว
                        การขึ้นต้นลักษณะต่อไปนี้  เป็นการขึ้นต้นที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
1.      ออกตัว
เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากผู้ฟัง เช่น ผมมาพูดวันนี้ ผมไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่หรอกครับ
ไม่รู้ตัวล่วงหน้ามาก่อนเลย ควรจำเป็นบีบบังคับให้ผมต้องมาพูด
2.      ถ่อมตน
เพราะเกรงว่าผู้ฟังจะมีความรู้  มีประสบการณ์มากกว่า  พยายามลดระดับฐานะความรู้
ความสามารถของตนเอง   ฯลฯ   ให้ต่ำกว่าผู้ฟัง   เช่น   เรื่องที่ผมจะพูดในวันนี้     ผู้ฟังเกือบทุกท่านก็มีความรู้ มีประสบการณ์มากกว่าผมหลายเท่านัก
3.      ขอโทษ  ขออภัย
เนื่องจากกลัวว่าจะพูดได้ไม่ดี    พูดผิดพลาด ไม่ถูกต้อง  ถ้าได้ขอโทษหรือขออภัยไว้ก่อน
ผู้ฟังจะได้ไม่โกรธหรือยกโทษให้ เช่น ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่า สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ จะถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่ ถ้ามีส่วนขาดตกบกพร่องไปบ้าง ก็ต้องขอโทษขออภัยท่านผู้ฟังไว้ล่วงหน้าก่อนนะครับ
4.      อ้อมค้อม
อ้างเหตุผลนานาประการที่เป็นเรื่องของตนเอง  หรือเหตุการณ์อื่นๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
กับเรื่องที่พูดเลย  เช่น  วันก่อนที่ผมจะมาพูดที่นี่ ผมไปทานอาหารมาครับเป็นอาหารทะเลสดๆ เช้าผมท้องเสีย ถ่ายท้องทั้งวัน จนรู้สึกหมดเรี่ยวแรงแทบจะยืนไม่อยู่
                 
                               ลักษณะการขึ้นต้นดังกล่าวนั้น  ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ฟังเลยแม้แต่น้อย นอกจากจะเป็นการระยายความในใจของผู้พูดออกมาล่วงหน้าไว้ก่อน  ตามหลักการพูดถือเป็นการสูญเสียเวลา และทำลายความสนใจของผู้ฟัง  ไม่ก่อให้เกิดความศรัทธาจากผู้ฟังแต่ประการใด

เนื้อเรื่อง
                        เมื่อเริ่มต้นเรื่องได้ดีสร้างความสนใจให้กับผู้ฟังแล้ว       การดำเนินเรื่องต้องให้มีความผสมกลมกลืนกับคำขึ้นต้น  บางคนเริ่มต้นดีแต่พอถึงเนื้อเรื่อง กลับล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า ทั้งนี้ เพราะขาดวิธีการในการดำเนินเรื่องนั่นเอง การดำเนินเรื่องที่ถูกต้อง คือ
1.      ดำเนินเรื่องไปตามลำดับ
ไม่วกไปวนมาจนทำให้ผู้ฟังสับสน การดำเนินเรื่องที่เป็นไปตามลำดับ ควรเริ่มจากจุดแรก
ไปสู่จุดสุดท้ายทีละขั้นตอน  ผู้ฟังจะสามารถติดตามเรื่องไปได้ตลอด หรือการพูดอาจเริ่มจากเหตุไปสู่ผล หรือเริ่มจากผลนำกลับมาสู่เหตุ แล้วแต่ความเหมาะสม
2.      จับอยู่ในประเด็น
เนื้อเรื่องที่พูดต้องอ้างอยู่ในประเด็นของเรื่อง หรือขอบเขตของเรื่องที่กำหนดไว้เสมอ การ
ดำเนินเรื่องออกนอกเขตไปพาดพิงถึงประเด็นอื่นๆ  ทำให้เสียเวลาอย่างมาก และผู้ฟังเกิดความสับสนว่า ผู้พูดกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่   การพูดให้อยู่ในประเด็นนี้ควรมีหัวข้อการพูดคร่าวๆ   อยู่ในใจ  และอธิบายหรือขยายความตามหัวข้อ จะช่วยยึดให้การพูดอยู่ในขอบเขตหรือประเด็นได้มากขึ้น
3.      เน้นจุดมุ่งหมาย
เนื้อเรื่องที่ดีต้องมีจุดมุ่งหมายของเนื้อเรื่องที่แน่นอน มีความสอดคล้องกันโดยตลอด ไม่
ขัดแย้งกันเองในจุดมุ่งหมาย การตอกย้ำจุดมุ่งหมายย่อมทำให้เกิดความชัดเจนของเรื่องมากขึ้น   คำพูดแบบเลื่อนลอยไม่มีจุดหมายย่อมมีผลกระทบ ทำให้ผู้ฟังไม่เข้าใจไปด้วยหรือถ้าเข้าใจก็อาจเข้าใจผิดพลาดไปจากความประสงค์ของผู้พูด
4.      ใช้ตัวอย่างประกอบตามเรื่องราว
บางครั้งผู้ฟังฟังแล้วอาจไม่เข้าใจ ถ้ามีการยกตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวนั้นๆ มา
ประกอบจะช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจได้มากและง่ายขึ้น การมีตัวอย่างประกอบจึงช่วยให้เนื้อเรื่องมีน้ำหนัก น่าเชื่อ และเห็นภาพพจน์ การสรรหาตัวอย่างควรหาตัวอย่างง่ายๆ ใกล้ตัวผู้ฟัง ซึ่งอาจเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ อุทาหรณ์ หรือเรื่องราวที่เล่าต่อๆ กันมา
5.      เร่งเร้าความสนใจ
การเร่งเร้าความสนใจของผู้ฟังนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญ    ต้องอาศัยศิลปะการพูด  การวิเคราะห์
ผู้ฟังเข้ามาประกอบด้วย  ถ้อยคำที่น่าสนใจ คำคม การเรียบเรียงดี เป็นปัจจัยในการเพิ่มความสนใจของผู้ฟังให้เพิ่มเป็นลำดับ การสอดแทรกอารมณ์ขันในระหว่างการพูดอย่างเหมาะสม จะช่วยสร้างความสนใจได้ดีเช่นกัน
            สรุปจบ
                        เมื่อขึ้นต้นดี  ดำเนินเรื่องได้อย่างกลมกลืน การสรุปจบก็ต้องสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังเป็นการปิดท้าย  ผู้พูดบางคนล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการสรุป เหมือนคำกล่าวที่ว่า ม้าตีนต้นคือดีหรือเก่งเฉพาะในตอนเริ่มเท่านั้น แต่ตอนท้ายกลับได้ไม่ดีคล้าย ตกม้าตายตอนจบผู้พูดต้องนึกไว้เสมอว่า ผู้ฟังจะประทับใจให้คะแนนผู้พูดมากหรือน้อยอยู่ที่ตอนสรุปจบด้วย
ลักษณะของภูมิปัญญาพื้นบ้าน
                
พัฒนาการของภูมิปัญญาชาวบ้าน
ภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นในช่วงที่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ทิศทางการพัฒนาประเทศกำลังแพร่หลายในสังคมไทย หรือเมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่ผ่านมา ผลจากการปะทะกันของความคิดสองกระแสดังกล่าวข้างต้น ช่วยให้สังคมไทยมีโอกาสทบทวนแนวคิดและทิศทางการพัฒนาในอดีต แสวงหาทางเลือกที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสังคมของเรา
การพัฒนาชนบท ซึ่งเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับชีวิตผู้คนจำนวนมากที่สุดในประเทศไทยนั้น แต่เดิมเป็นหน้าที่หรืองานของรัฐ กิจกรรมหรืองานพัฒนาในยุคแรกๆเกิดขึ้นบนพื้นฐานการมองประชาชนในฐานะโง่ จน เจ็บ ขาดความรู้เรื่องการทำมาหากิน ล้าหลัง ไม่ทันสมัย และด้อยพัฒนา เจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐจึงมีหน้าที่เข้าไปช่วยเหลือคนเหล่านั้นให้มีความรู้และรายได้เพิ่มขึ้น โดยการฝึกอบรมอาชีพ จัดหาแหล่งทุน และบางครั้งก็ช่วยจัดการด้านการตลาด บทบาทของชาวบ้านเป็นเพียงผู้รับ ส่วนรัฐเป็นผู้ให้ แนวทางการพัฒนานี้ได้กลายเป็นหลักในการทำงานในช่วง 20 ปีแรกของการพัฒนาชนบทไทย คือระหว่าง พ..2503-2523
แม้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว แนวคิดในการพัฒนาชนบทไทยจะเปลี่ยนไปบ้าง จากการเน้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มรายได้ให้ประชาชนมาเป็นแนวเศรษฐกิจ-สังคม เพราะเห็นว่าการพัฒนาต้องกะทำควบคู่กันทั้งสองด้าน จึงนำเรื่องกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่วิธีทำงานก็ยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิม คือหน่วยงานและเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้กำหนดและมีบทบาทสำคัญเหนือชาวบ้านตลอดมา
ปี พ..2524 ได้เกิดปรากฎการณ์สำคัญที่นำไปสู่การพลิกโฉมการพัฒนาชนบทไทยในเวลาต่อมา กล่าวคือ องค์กรเอกชน (Non-Government Organization =NGO) ที่ทำงานด้านการพัฒนาชนบทจำนวนหนึ่งได้ร่วมกันวิเคราะห์งานที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนั้น พร้อมกับตั้งคำถาม 25 ข้อ และจัดพิมพ์เป็นหนังสือเล่มเล็กๆชื่อ ใครพัฒนาใคร คำถามเหล่านี้เกิดจากงานพัฒนาที่ทำไปแล้วได้สร้างปัญหาให้ชาวบ้านมากมาย และวิธีการทำงานก็ยังเป็นแบบเดิม คือการสอน การบอกเล่า การจัดกระบวนการ และช่วยชาวบ้านทำงาน
ความหมายของภูมิปัญญาชาวบ้าน

3.1     การให้ความหมาย  นักวิชาการและผู้ที่เกี่ยวข้อง สนใจงานด้านภูมิปัญญาต่างเห็นพ้องต้องกันในการให้ความหมายภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่ให้ความสำคัญต่อองค์ความรู้  ความรู้ และความรอบรู้ในด้านต่างๆของชาวบ้าน และชาวบ้านสามารถนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้แก้ปัญหาที่ต้องประสบในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ชีวิต ครอบครัว และชุมชนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข หรือเกิดดุลยภาพในทุกระดับ

3.2     องค์ประกอบ การให้ความหมายดังกล่าวข้างต้น ทำให้สามารถแยกองค์ประกอบของภูมิปัญญาชาวบ้านให้เห็นเด่นชัดขึ้น ดังนี้
1)  องค์ความรู้  หมายถึง ความรู้หลายอย่างมาเชื่อมโยงกันเป็นชุดความรู้  ด้วยเหตุนี้ กิจกรรมใดของชาวบ้านจะถูกยกให้เป็นกิจกรรมทางภูมิปัญญาก็ต่อเมื่อได้รับการพิสูจน์แล้วว่ากิจกรรมนั้นเกิดจากองค์ความรู้ ไม่ใช่ความรู้เดียว
ตัวอย่าง เกษตรธาตุสี่ ของนายหรน  หมัดหลี  อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา  นายหรน  หมัดหลีเริ่มต้นทำการเกษตรจากการรู้จักชีวิตและครอบครัวของตัวเอง ในฐานะเกษตรกรยากจน เขาต้องรู้จักพืชที่ต้องการจะปลูกทุกชนิดเป็นอย่างดี และนำความรู้เหล่านั้นมาวางแผนการเพาะปลูก พืชชนิดใดจะให้ผลภายใน 1 เดือน  3 เดือน  6 เดือน  และ12 เดือน เพื่อให้ครอบครัวมีอาหารและรายได้ตลอดปี 
นอกจากนั้น นายหรน  หมัดหลียังมีความรู้เรื่องดิน ก่อนปลูกพืชทุกชนิดต้องมีการทดสอบว่าเหมาะสมกับดินบริเวณนั้นหรือไม่ มีความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและสังคมของพืช  ความรู้นี้มีพื้นฐานมาจากการร่ำเรียนแพทย์แผนไทย ทำให้เขามองพืชทุกชนิดว่ามีธาตุสี่ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟ เช่นเดียวกับคน และได้ใช้ความรู้นี้มาวางหลักในการเพาะปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น หลักในการปลูกก็คือการนำพืชที่มีลักษณะตรงข้ามกันมาปลูกในหลุมเดียวกัน เช่น พืชที่มีธาตุน้ำต้องปลูกคู่กับพืชที่มีธาตุไฟ เป็นต้น การปลูกพืชในลักษณะนี้จะไม่ทำให้ต้นไม้แต่ละชนิดส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน ต้นไม้แต่ละชนิดต่างให้ดอกผลตามธรรมชาติของมันเอง
นายหรน  หมัดหลี เห็นว่าไม้ผลพันธุ์ดี เช่น ทุเรียนหมอนทองมีราคาแพง คนยากจนไม่มีกำลังซื้อ เขาจึงปลูกทุเรียนพื้นบ้าน ซึ่งมีราคาถูก ทำให้คนจนในชุมชนสามารถซื้อไปบริโภคได้ ตลาดของเขาจึงอยู่ที่หมู่บ้าน ไม่ใช่การส่งออกสู่เมืองใหญ่ หรือต่างประเทศ ตลาดของนายหรน  หมัดหลีจึงเป็นตลาดของคนยากคนจน หวังพึ่งตนเอง ทำให้เขาไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของพ่อค้า
การเชื่อมโยงความรู้หลายด้านนี้เข้าด้วยกัน กลายเป็นองค์หรือชุดความรู้ด้านการเกษตรของนายหรน  หมัดหลี ที่เรียกว่า เกษตรกรรมธาตุสี่
2)  เทคนิค หรือวิธีการ หมายถึง กลวิธีหรือการจัดการในเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้สอดคล้องกับองค์ความรู้ เทคนิคหรือวิธีการจะมีความแตกต่างกันออกไปตามประเภทของภูมิปัญญา เช่น เทคนิคการผลิต เทคนิคการจัดการ และเทคนิคการเชื่อมประสานความสัมพันธ์ เป็นต้น
            ตัวอย่าง  จากองค์ความรู้ด้านการเกษตรธาตุสี่ ดังกล่าวแล้วข้างต้น นายหรน  หมัดหลีได้นำมาปฏิบัติผ่านทางเทคนิคหรือวิธีเพาะปลูกพืช  ในช่วงแรก เขาเริ่มปลูกพริก มะเขือ แตงกวา และตะไคร้ จากนั้นจึงปลูกกล้วย และไม้ผลไม้ยืนต้นอื่นๆตามมา โดยเฉพาะไม้ผลไม้ยืนต้น จะปลูกหลุมละ 3 ต้น แต่ละต้นมีธาตุต่างกันตามหลักการเพาะปลูกที่กล่าวข้างต้น นอกจากนั้น นายหรน  หมัดหลียังคำนึงถึงความสูง รูปทรง และลักษณะการให้ดอกออกผลของไม้แต่ละต้นที่นำมาปลูกร่วมกัน
            ในด้านการดูแลหรือบำรุงรักษาต้นไม้ นายหรน  หมัดหลีมีวิธีปฏิบัติที่สอดคล้องกับธรรมชาติ เช่น ไม่ถางหญ้าในหน้าแล้ง ใช้ปุ๋ยจากซากพืชซากสัตว์ที่เน่าเปื่อย และไม่ตัดแต่งกิ่ง เพราะเชื่อว่าธรรมชาติจะจัดการสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวมันเอง กล่าวคือกิ่งที่อยู่ไม่ได้ ไม่เหมาะสมก็จะร่วงหล่นไปเอง
            ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเทคนิคหรือวิธีการเพาะปลูกพืช ที่ทำให้สวนของนายหรน หมัดหลีมีลักษณะเฉพาะ แตกต่างจากสวนของเกษตรกรอื่นๆ แต่สอดคล้องกับองค์ความรู้ของตนที่สั่งสมมา
3)  การรับใช้ชีวิตในปัจจุบัน  ภูมิปัญญาชาวบ้านไม่ใช่เรื่องเล่าในอดีต ไม่ใช่ของเก่าที่แสดงในพิพิธภัณฑ์ แต่เป็นสิ่งที่มีตัวตน และผ่านการพิสูจน์แล้วว่าสามารถรับใช้วิถีชีวิตผู้คนในปัจจุบัน หรือมีพลังในสังคมยุคใหม่
การทำการเกษตรแบบธาตุสี่ของนายหรน  หมัดหลีได้พิสูจน์ให้เห็นว่าครอบครัวของเขามีอาหาร มีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และส่งเสียลูกจำนวน 11 คนให้ได้รับการศึกษาอย่างถึง และเกือบทั้งหมดเรียนจบระดับอุดมศึกษา  และการเกษตรแบบนี้ยังได้กลายเป็นตัวแบบหรือแบบอย่างที่ดีที่เกษตรกรทั่วประเทศเดินทางมาเรียนรู้อย่างไม่ขาดสาย
การพิจารณาองค์ประกอบของภูมิปัญญาชาวบ้าน ในฐานะความรู้ที่กล่าวนี้ ทำให้สามารถวิเคราะห์ต่อไปได้ว่า ภูมิปัญญาชาวบ้านน่าจะเป็นคำเดียวกับเทคโนโลยีชาวบ้าน เพราะเทคโนโลยีได้รวมเอาความรู้และเทคนิคไว้ด้วยกัน เทคโนโลยีไม่ใช่เครื่องมือ หรือเครื่องใช้ไม้สอยเพียงอย่างเดียว
ลักษณะของภูมิปัญญาชาวบ้าน
ภูมิปัญญาชาวบ้านทั้งในฐานะความรู้และกระบวนการจะมีลักษณะโดยรวม ดังนี้
1)      เป็นรวมที่เกี่ยวกับองค์ความรู้ เทคนิค และมีพลังในสังคมปัจจุบัน
2)  แสดงระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติแวดล้อม และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
3)      เป็นองค์รวม หรือเชื่อมโยงกิจกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต
4)  เป็นเรื่องของการแก้ปัญหา การจัดการ การปรับตัว การเรียนรู้เพื่อความอยู่รอดของบุคคล ชุมชน และสังคม
5)      เป็นแกนหลักหรือกระบวนทัศน์ในการมองชีวิต และเป็นพื้นฐานความรู้ในเรื่องต่างๆ
6)      มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับสมดุลในการพัฒนาทางสังคมตลอดเวลา
7)      มีลักษณะเฉพาะหรือเอกลักษณ์ในตัวเอง

    ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการของภูมิปัญญาชาวบ้าน
1)      ความรู้เดิมในเรื่องนั้นๆ ผสมผสานกับความรู้ใหม่ที่ได้รับ
2)      การสั่งสมและการสืบทอดความเรื่องในเรื่องนั้นๆ
3)      ประสบการณ์เดิมที่สามารถเทียบเคียงกับเหตุการณ์หรือประสบการณ์ใหม่
4)      สถานการณ์ที่ไม่มั่นคง หรือมีปัญหาที่ยังหาทางออกไม่ได้
5)      รากฐานทางพระพุทธศาสนา หรือศาสนาอื่นๆที่ผู้คนยึดถือ

 ภูมิปัญญาชาวบ้านสู่ภูมิปัญญาไทย

การให้ความหมายภูมิปัญญาชาวบ้านในฐานะกระบวนการดังที่ได้กล่าวแล้วในตอนต้น จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวิเคราะห์ให้เห็นการเติบโตและการพัฒนาของภูมิปัญญาชาวบ้านเข้าสู่ภูมิปัญญาไทย หรือจากระดับชุมชนสู่ระดับชาติ กระบวนการภูมิปัญญา ซึ่งในที่นี้ใช้ในความหมายเดียวกับกระบวนการเรียนรู้ที่ได้เกิดขึ้นแล้วในทุกส่วนของประเทศ กำลังเติบโต และประสานพลังเข้าด้วยกันเพื่อแก้ปัญหาและสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่ผู้คน ชุมชน และสังคมไทย
นับจากปี พ..2504 ซึ่งเป็นปีแรกที่ประเทศไทยได้ประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (..2504-2509) เป็นต้นมา รัฐบาลในขณะนั้นได้พยายามผลักดันนโยบายพัฒนาประเทศให้เข้าสู่ความทันสมัย ขณะที่ประชาชนและชุมชนยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง ผู้ใหญ่วิบูลย์  เข็มเฉลิม ได้วิเคราะห์สภาพชุมชนและเกษตรกรในยุคนั้นว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯเกิดขึ้นในภาวะที่ชุมชนและเกษตรกรไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่โง่หรือล้าหลัง แต่ไม่รู้จะเปลี่ยนไปทำไม เพราะขณะนั้นชุมชนมีเศรษฐกิจพอเพียง ทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ และระบบความสัมพันธ์แบบแบ่งปันทำให้คนในยุคนั้นมีชีวิตไม่เดือดร้อน   ผู้ใหญ่วิบูลย์  เข็มเฉลิมย้ำว่า คนในภาคเกษตรไม่พร้อม ผมเองก็ไม่พร้อม ไม่สามารถรองรับวิถีชีวิตจากนโยบาย แต่ต้องทำตามสั่งเรื่อยมา อาศัยเทคโนโลยีในการแก้ปัญหา เขาฝึกให้รู้จักขอ สุดท้ายใช้วิธีประท้วง อย่างไรก็ตาม ผลจากการใช้นโยบายของรัฐ ทำให้เกษตรกรและชุมชนต้องรับสิ่งใหม่ๆที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ระยะเวลาเพียงไม่กี่สิบปีหลังจากนั้นระบบการผลิต ความสัมพันธ์ และคุณค่าต่างๆ รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชนได้ถูกทำลายลงจนยากที่จะฟื้นฟูให้ได้ดังเดิม
ในช่วง 20 กว่าปีมานี้ เกษตรกรและชุมชนได้ปรับตัวครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อพบว่าความสัมพันธ์ใหม่กับภายนอกทำให้ตนเสียเปรียบ การเรียนรู้ใหม่ทำให้เกิดการรวมกลุ่มสร้างองค์กรชุมชนหรือองค์กรชาวบ้านเพื่อจัดความสัมพันธ์ใหม่กับภายนอก จัดการทรัพยากรใหม่ และสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ที่จะทำให้ชุมชนอยู่รอดและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมชุมชน
กระบวนการภูมิปัญญาชาวบ้าน  เป็นกระบวนการเรียนรู้แบบลองถูกลองผิด หรือทำไปเรียนไป ซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในชุมชนจำนวนมาก หัวใจของการเรียนรู้แบบนี้อยู่ที่การปฏิบัติ โดยเฉพาะชุมชนที่ได้พัฒนาการเรียนรู้มาแล้วระดับหนึ่ง และมองไม่เห็นทางออกภายใต้ระบบเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมวัฒนธรรมในขณะนั้น ชุมชนต้องการสิ่งใหม่หรือทางเลือกใหม่  ต้องการความรู้ใหม่ เมื่อไม่มีหน่วยงานหรือองค์ใดตอบสนองได้ชุมชนจึงต้องสร้างกิจกรรม เรียนรู้จากกิจกรรม และสรุปประสบการณ์ออกมาเป็นความรู้ใหม่ ระบบการจัดการใหม่ที่จะช่วยให้ชุมชนหลุดพ้นจากการครอบงำของระบบเก่า
ชุมชนไม้เรียง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งได้เรียนรู้ระบบการผลิตและการจัดการยางพาราใหม่ผ่านประสบการณ์ของกลุ่มเกษตรกรทำสวนไม้เรียง จนไม้เรียงกลายเป็นต้นแบบของอุตสาหกรรมชุมชน เป็นโรงเรียนให้กลุ่มเกษตรกรและชุมชนชาวสวนยางทั่วประเทศได้เรียนรู้และฝึกฝน  ที่สำคัญประสบการณ์ชุดนี้ได้กลายเป็นนโยบายในการส่งเสริมและพัฒนายางพาราของรัฐบาลในขณะนั้น ส่งผลให้เกิดโรงงานแปรรูปยางพารากระจายไปทุกจังหวัดที่ปลูกยาง ดังรายละเอียดที่กล่าวแล้วในกรณีศึกษาข้างต้น